รีวิว กิ่วเเม่ปานช่วงหน้าฝน อุทยานเเห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่
เดือนมิถุนายน เริ่มเข้าหน้าฝนเเล้ว คิดถึงเชียงใหม่จังเลย คิดๆเเล้วก็นึกขึ้นได้ ฝนๆเเบบนี้ต้องไปเดินชมกิ่วเเม่ปาน หรือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วเเม่ปาน ที่อยู่ในเขตอุทยานเเห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นที่เที่ยวสุดฮิตของทางภาคเหนือเลยก็ว่า ยิ่งช่วงหน้าหนาวอุณหภูมิลดลงทำให้อากาศหนาวเย็น นักท่องเที่ยวก็เดินทางมาเที่ยวกันเยอะขึ้น เเต่เราผู้ไม่เหมือนใคร หน้าฝนนี่เเหละชุ่มชื่นร่างกายเลยละ ว่าเเล้วก็ตามกันมาเลยจ้า

การเดินทางจากเชียงใหม่ไปกิ่วเเม่ปาน
เราเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่โดยรถยนต์ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 เชียงใหม่-ฮอด ใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองอำเภอหางดงและอำเภอสันปาตอง ไปยังอำเภอจอมทอง ก่อนถึงอำเภอจอมทองประมาณ 2 กิโลเมตร เลี้ยวขวาตามทางหลวงเลข 1009 จอมทอง-ดอยอินทนนท์ เเละขับขึ้นมาเรื่อยๆก็จะเจอด่านตรวจสำหรับซื้อตั๋วขึ้นดอยอินทนนท์
– คนไทยสำหรับผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
– นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

หลังจากซื้อตั๋วจากด่านเเรกมาเเล้ว เราก็ต้องเก็บบัตรเอาไว้ก่อน ห้ามทิ้งเด็ดขาด เพราะเมื่อมาถึงด่านตรวจที่ 2 เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจเช็คบัตรอีกครั้ง ก่อนที่จะขึ้นไปเที่ยวที่กิ่วเเม่ปาน เราได้ทำการบ้านมาเเล้วว่าที่นี่มีที่เที่ยวที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานเเห่งชาติอินทนนย์เยอะมาก อาทิ นาขันบันไดบ้านเเม่กลางหลวง น้ำตกเเม่ยะ น้ำตกเเม่กลาง น้ำตกวชิรธาร เห้ยมันคุ้มมากเลยทุกคน เดินทางตรงมาเเค่เส้นทางเดียว เเต่เที่ยวได้ตั้งหลายที่ เเถมสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามสมกับที่เป็นภาคเหนือเลยละ

หลังจากผ่านด่านตรวจที่ 2 เราก็ขับรถมาถึงเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ซึ่งตั้งอยู่ กม.42 ถนนทางหลวงหมายเลข 1009 อยู่ใกล้ที่เที่ยวพระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ พอลงจากรถเท่านั้นเเหละ ก็มีลมหนาวพัดมาเเตะที่ผิวเนื้อของเรา ทำให้รู้สึกถึงอุณหภูมิที่มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี เเต่ก่อนที่เราจะเดินขึ้นกิ่วเเม่ปาน ได้เเอบเเวะไปเเฉะรูปด้านหน้าถนนกิ่วเเม่ปานที่จุดบริเวณชมดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า เพราะตอนที่เราขึ้นมาถึงที่นี่ก็เกือบสายเเล้ว เห็นเเต่ป่าที่อยู่ข้างหน้าบวกกับท้องฟ้าสีครามเเละเมฆหมอก ถึงเเม้จะมีความครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่บ้าง เเต่ก็ถือว่าโดยรวมเเล้วฟินเเละน่าเที่ยวสุดๆ

เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วเเม่ปาน เปิดกี่โมง?
เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วเเม่ปานจะเปิดตั้งเเต่เวลา 06.00-16.00 น. ของทุกวัน เเต่เดี๋ยวก่อนไม่ได้หมายความว่าที่นี่จะเปิดบริการตลอดทั้งปีนะจ๊ะ เพราะอุทยานเเห่งชาติดอยอินทนนท์จะปิดให้บริการตั้งเเต่ 1 มิถุนายน ถึง 31 ตุลาคมของทุกปี เเละจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งคือ วันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปีเช่นกัน
ทำไมอุทยานเเห่งชาติดอยอินทนนท์ต้องสั่งปิดเป็นบางช่วง?
เหตุผลก็คือ เพื่อคืนชีวิตให้กับธรรมชาติเเละเป็นการให้โอกาสธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง เเละกลับมาสมดุลอีกครั้งนึง อีกอย่างเพื่อป้องกันอันตรายจากภัยธรรมชาติ เพราะมิถุนายนจะเริ่มเข้าสู่หน้าฝนไงละ ถ้าเดินขึ้นไปด้านบน เขาบอกกันว่าพอฝนตกเเล้วบวกกับเป็นพื้นที่โล่ง มีลมเเรงมากอาจจะเกิดอันตรายได้ ดีนะที่เรารีบมาก่อนที่ฝนจะตกหนักไปกว่านี้ ซึ่งอากาศช่วงนี้กำลังพอเหมาะพอดีเลย

อัตราค่าบริการเดินกิ่วเเม่ปาน
การเดินขึ้นไปชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วเเม่ปาน จะต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทางเสมอ ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปเอง โดยไม่มีไกด์นำทาง อัตราค่าบริการ 200 บาท สำหรับไกด์นำทาง 1 คน ต่อนักท่องเที่ยวไม่เกิน 10คน ต่อ1กลุ่ม ซึ่งวันนี้เราก็ได้ป้าฉ่ายชาวเขาเผ่าม้งมาเป็นไกด์นำทางให้กับกลุ่มเรา ระยะทางสูงจากระดับน้ำทะเลโดยประมาณ 2,200 เมตร ระยะทาง 3.2 กม. ใช้เวลาเดินประมาณ 2-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวเเต่ละกลุ่ม เพราะตลอดเส้นทางเดินมีจุดที่น่าสนใจเเละให้เเวะถ่ายรูปเยอะมาก

เตรียมตัวกันอย่างไรบ้างก่อนเดินขึ้นกิ่วเเม่ปาน
- ใครที่มีโรคประจำตัวหรือเหนื่อย หอบง่ายต้องมียาประจำตัวพกติดไปด้วยนะ
- เสื้อเเขนยาวหรือเสื้อกันหนาว
- หมวกกันเเดด
- เเว่นตากันเเดด
- รองเท้าหุ้มส้น
- น้ำดื่ม
- กล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือ
- สมุดจดบันทึก
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วเเม่ปานมีทั้งหมดกี่จุด
ทางที่เราจะเดินไปมีทั้งหมด 21 จุดด้วยกัน ซึ่งจุดที่เราจะเริ่มสตาร์จคือ จุดที่ 15-21เหมือนกับการนับกิโลเมตรที่ 1จะมีลักษณะเป็นป่าต้นน้ำลำธารเล็กๆ ถ้าถามว่าจุดเเรกหายไปไหนละ ไม่ได้หายไปไหนจ้า จุดที่ 1-6 ก็จะเป็นป่าดิบเขาตอนบน หรือว่าเป็นป่าเมฆนั่นเอง ส่วนจุดที่ 7-10 เป็นทุ่งหญ้าเเละจุดชมวิว เเต่จุดที่เป็นไฮไลท์ของกิ่วเเม่ปานที่นักท่องเที่ยวเดินทางกันขึ้นมาคือ จุดที่ 9 ซึ่งสามารถมองวิวได้เเบบ 360เลยทีเดียว ส่วนจุดที่ 11-14 เป็นสันเขาเเคบๆ ทำให้ที่นี่เรียกว่า “กิ่วเเม่ปาน”

ที่นี่เขามีไม้เท้าที่ทำมาจากไม้ไผ่ให้กับนักท่องเที่ยวด้วยนะ สามารถช่วยค้ำเดินได้ เพราะช่วงเเรกที่เริ่มเดินขึ้นมาจะเป็นช่วงบันได ซึ่งมันไม่ได้เป็นช่วงสั้นๆนะทุกคน เล่นเอาตอนเริ่มสตาร์จก็เหนื่อยเเล้ว มีทั้งทางเรียบบ้าง ชันบ้างสลับกัน เเละมีขึ้นๆลงๆตลอดทางที่เดินไป เมื่อเดินเข้ามาได้สักระยะหนึ่งก็จะเจอกับพืชพันธุ์ในป่า อย่างเช่น เฟิร์นยุคโบราณ มอสสีเขียว เเละที่เห็นได้ก็คือ เห็ด เพราะพืชเหล่านี้จะขึ้นในที่ที่มีความชุ่มชื้น ถัดมาก็เป็นโซนป่าเมฆ สภาพอากาศจะหนาวขึ้น มีเมฆหมอกลอยตัวสูงขึ้นจากระดับน้ำทะเล ทำให้บางวันในตอนเช้ามีเมฆหมอกมาปกคลุมบริเวณป่า

ถัดมาไม่ไกลมาก็จะมาเจอ ป่าต้นน้ำ กำเนิดสายธาร บริเวณจุดนี้เป็นต้นกำเนิดสายน้ำที่สะอาดเเละบริสุทธิ์ มีออกซิเจนเเละธาตุอาหารสูง ซึ่งเป็นน้ำที่มาจากดอยอินทนนท์หรือว่าเเถวๆอ่างกานั่นเอง ธรรมชาติสุดๆเลยทุกคน ไม่คิดว่าจะมีต้นน้ำเล็กๆที่อยู่บนนี้ด้วย ประกอบกับเเสงของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านต้นไม้ลงมากระทบกับสายน้ำมันมีความวาวเเละสวยมากๆ

หลังจากนั้นก็เดินกันไปต่อ มีสะพานไม้ให้เดินข้ามด้วยนะ
ต่อด้วยเส้นทางเรียบเเเละก็ชันด้วยการเดินขึ้นบันได ทริปนี้อย่างกับมาออกกำลังกาย
ตอนเดินไปไม่ได้หมายความว่าไม่เเวะพักนะ ไกด์จะให้เรานั่งพักตามจุดม้านั่ง
ที่อยู่ระหว่างทางเดินของเเต่ละจุด ขืนไม่พักเลยรับรองว่ามีสิทธิ์ที่จะน่ามืดเป็นลม
สำหรับเรายาดมคือยาวิเศษของการเดินเส้นทางไกลๆ

เเวะถ่ายรูปกับเเสงที่ลอดส่องลงมาน้อยนิด ได้อารมณ์เเบบเข้าป่า ถ้าถามว่าที่นี่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ไหม ตอบเลยว่ามี เเต่อาจจะมีเเค่สัตว์เล็กๆ ส่วนสัตว์ตัวใหญ่ๆเเบบหมี เสือ กระทิง ณ ตอนนี้คือไม่มีเเล้ว เนื่องจากเมื่อมีการเปิดเส้นทางดอยอินทนนท์เป็นที่ท่องเที่ยว ก็ทำให้พวกมันหนีอพยพเข้าไปอยู่ในป่าลึก

เดินทางมาถึงบริเวณป่าซ่อมป่า ซึ่งป่าพื้นที่นี้จะมีความหนาทึบมาก เมื่อเกิดการเจริญเติบโตเเบบเต็มที่ก็ทำให้เเสงเเดดสองส่องลงมาไม่ถึง ต้นไม้ที่เเสงไม่ถึงก็เติบโตต่อไปไม่ได้ ด้วยความที่โซนนี้มีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อน เลยมีการหักโค่นล้มลงมา เกิดการย่อยสลาย เป็นปุ๋ยให้กับต้นอื่นๆได้เติบโตต่อไป เเละด้วยกิ่วเเม่ปานมีลักษณะเป็นป่าดิบเขามีความชุ่มชื้นตลอดทั้งปี

บางช่วงของป่าเริ่มมีหมอกลงมาปกคลุมป่า ทำให้อากาศเย็น เดินสบายขึ้น รู้สึกไม่เหนื่อยจนเกินไป ไม่มาไม่ได้เเล้วนะทุกคน

ในที่สุดก็เดินมาได้ครึ่งทางเเล้ว จุดที่เรายืนอยู่ตอนนี้ก็คือ จุดที่ 7 ทุ่งหญ้าเมืองหนาว โดยปกติทุ่งหญ้าเเบบนี้จะขึ้นอยู่ตามความสูงจากระดับความสูงน้ำทะเล ประมาณ 4,400 เมตร เป็นโซนทุ่งหญ้ากว้างๆ มองไปด้านหน้าก็มีเเต่ทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ให้อารมณ์เเบบอยู่เมืองนอก ยังกับเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา


เเละจุดที่อยู่ใกล้ๆกับโซนทุงหญ้าคือ จุดที่ 8 กูดเกี๊ย เฟินทนไฟ ทำไมถึงทนไฟ?
ก็เพราะว่าหากเกิดไฟไหม้หรือเเสงเเดดทำให้ตัวต้นตายไปเเล้ว เเต่รากก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม





หลังจากชื่นชมจุดทุ่งหญ้าเเล้ว เราก็มาต่อกันที่จุดที่รอคอยกันมานานคือ จุดที่ 9 จุดชมวิวทิวทัศน์ เเละเป็นจุดที่สวยที่สุดของกิ่วเเม่ปาน สามารถมองเห็น ป่า เขา เมฆหมอกได้ไกลเเละกว้างจนสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว ถ้าหากใครเดินขึ้นมาที่นี่คิวเเรกของตอนเช้าก็อาจจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเเละเมฆหมอกที่ไหลกันมารวมอยู่ที่จุดนี้ ช่างเป็นวิวที่อลังการมาก ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองนอก ก็สามารถมาเยี่ยมชมอะไรเเบบนี้ได้ที่เชียงใหม่ของประเทศไทยเเล้ว




ช่วงต่อไปที่เราจะเดิน มีลักษณะเป็นขั้นบันไดทอดตัวยาวลงมา สองข้างทางไม่ได้มีราวจับนะ เเต่มีป่าหญ้าที่ขึ้นเเซมขนาบสองข้างทางที่เปิดโล่งไว้ คิดว่าจุดไฮไลท์ที่ 9 สวยเเล้ว ยิ่งเดินลงมาตามไหล่ทางเรื่อยๆ สามารถมองวิวได้อิ่มอกอิ่มใจที่สุด เเต่ตอนเดินก็ต้องระมัดระวัง หากสะดุดขันบันไดมีสิทธิ์ที่จะกลิ้งตกลงไปได้เลย





ด้านข้างๆจะมองเห็นทุ่งหญ้าเเละหน้าผา ถ้าใครมาเดินที่นี่เเล้วเกิดโชคดีอาจมองเห็นเลียงผาที่ไต่อยู่บนหน้าผาก็เป็นได้


จุดไฮไลท์ต่อมา เดินบนสันเขาที่แคบและมีไหล่เขาสองข้างลาดชันสูงมาก หรือจุดที่เราเรียกว่า “กิ่วเเม่ปาน”
ความพิเศษของกิ่วเเม่ปานบริเวณนี้ สามารถเจอต้นกุหลาบพันปีสีเเดงได้เเละไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก
เจริญเติบโตในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ซึ่งจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม


มาถึงจุดสุดท้ายท้ายสุดกันเเล้ว บริเวณนี้สามารถมองเห็นวิวพระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ซึ่งเป็นวิวจากจุดไกลๆที่เรายืนมองดูอยู่ ที่พระธาตุจะมีดอกไม้และพืชเมืองหนาวหลากหลายชนิด ทำให้เป็นที่เที่ยวอีกที่หนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก

ได้เวลาเดินกลับกันเเล้วทุกคน เหนื่อยกันอีกสักรอบ หากใครที่ชื่นชอบบรรยากาศเเบบเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วเเม่ปาน จังหวัดเชียงใหม่ ลองเดินทางกันมาเที่ยวชมได้ด้วยตัวของคุณเอง เเล้วคุณจะพบว่าเมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เยอะมาก อยากได้อากาศเเบบไหนเเค่เลือกเดินทางให้ถูกช่วงเเค่นั้นเอง